พลังแห่งการสัมผัส(The Power Of Touch)
พลังแห่งการสัมผัส เราต่างให้ความหมายและมุมมองที่แตกต่างกัน อาจจะด้วยเหตุผลของวัย อายุ เวลา ประสบการณ์ แต่ทุกการสัมผัสต่างมีความหมายถ่ายทอด แทนการสื่อสารที่เราใช้สื่อสารเป็นประจำผ่านเสียง คำพูด ส่งมอบความรู้สึกให้กับผู้รับแม้แต่กับตัวเราเอง ทุกการสัมผัสจะสื่อทั้งพลังงานความรู้สึกเจตนาหรืออาจจะไม่เจตนา ในมุมมองขอบเขตความรู้สึกแต่ละคน และช่วงเลานั้นๆ อย่างไรก็ตามพลังแห่งการสัมผัส ช่างมีพลังงานเหลือเกินที่ธรรมชาติจัดสรรให้มนุษย์เรานำมาใช้ในชีวิต เราสามารถให้พลังงานแห่งการสัมผัส เป็นความรัก ความผูกพัน ความห่วงใย ในบทความนี้กันค่ะ
มนุษย์เรามักจะคุ้นชิน การสื่อสารซึ่งกันและกัน ด้วยการพูดคุยเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งการสื่อสารเราสามารถสื่อสารได้หลากหลายวิธี ที่เราจะแสดงออกมาให้ผู้คนได้เห็น เช่น เราสื่อสารผ่านทางอริยาบถต่างๆ ด้วยภาพลักษณ์ภายนอกของเรา อาจจะเป็นการเคลื่อนไหวของร่างกาย และการสื่อสารอีกแบบหนึ่งที่เราต้องการสื่อสารกับผู้รับคือ “การสัมผัส (Touching)” ที่มีพลังแห่งการสื่อสารเช่นกัน
ผู้เขียนได้แรงจูงใจ และเห็นผู้คน วัฒนธรรม ต่างชาติต่างภาษา การสื่อสารกันผ่านการพูด อาจจะจะเป็นการยากที่จะเข้าใจ ในบางสถานการณ์ แต่การสื่อสารกันบนโลกใบนี้ธรรมชาติจัดสรรให้เราแล้ว ผ่านการใช้เสียง การสัมผัสที่อาจจะให้ความหมายต่างๆได้เช่นกัน เช่น จับมือทักทาย การโอบกอด เป็นต้น
การสัมผัสเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ของมนุษย์
สัมผัสแรกที่เราได้ตั้งแต่แรกเกิดคือ ความรู้สึกรักและผูกพันระหว่างแม่และลูก สื่อความหมายด้วยการสัมผัส ตั้งแต่แรกเกิด วันเวลาผ่านไปและซึมซับการสัมผัสที่แม่หรือคนรอบข้างที่มอบให้เด็ก การสัมผัสถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ของเด็กตั้งแต่แรกเกิด ธรรมชาติของมนุษย์ในการดำรงอยู่ส่วนหนึ่งในชีวิตคือ การสัมผัส ที่ยังคงดำรงอยู่ต่อไป แต่หลุมพลางอย่างหนึ่งที่ความเป็นอยู่ของมนุษย์อาจจะเปลี่ยนไป คือ มนุษย์เปลี่ยนแปลงโลกด้วยเทคโนโลยีมาทดแทน มาตอบโจทย์มนุษย์และให้ความพึงพอใจเราโดยินดีที่จะใช้ชีวิต ด้วยการสร้างสิ่งใหม่จากเทคโนโลยีที่ทดแทนความเป็นธรรมชาติจากความคิดมนุษย์ด้วยกันเอง
หนึ่งบทความที่น่าสนใจเกี่ยวกับพลังแห่งการสัมผัส ใจความว่า
“From the day we’re born, humans are innately attuned to the sense of touch. Research shows that skin-to-skin contact between a mother and a newborn baby provides a multitude of benefits for both baby and parent. The baby may experience enhanced nutrient absorption, better body temperature maintenance, improved brain development, less pain and more, while the contact may help the mother have a more positive breastfeeding experience, lower her risk of postpartum depression and reduce stress. Studiesshow that fathers, too, can reap mental health benefits of skin-on-skin contact following birth.”
“นับตั้งแต่วันที่เราเกิดมา มนุษย์จะปรับตัวเข้ากับประสาทสัมผัสโดยกำเนิด การวิจัยแสดงให้เห็นว่าการสัมผัสแบบเนื้อแนบเนื้อระหว่างแม่กับทารกแรกเกิดมีประโยชน์มากมายสำหรับทั้งทารกและพ่อแม่ ทารกอาจได้รับการดูดซึมสารอาหารที่ดีขึ้น การรักษาอุณหภูมิของร่างกายได้ดีขึ้น พัฒนาการทางสมองดีขึ้น ความเจ็บปวดน้อยลง และอื่นๆ ในขณะที่การสัมผัสอาจช่วยให้แม่มีประสบการณ์ในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในเชิงบวกมากขึ้น ลดความเสี่ยงของภาวะซึมเศร้าหลังคลอด และลดความเครียด การศึกษาแสดงให้เห็นว่าพ่อสามารถได้รับประโยชน์ด้วยด้านสุขภาพจิตจากการสัมผัสทางผิวหนังหลังการคลอด”
เปิดโอกาสให้เราได้สัมผัสก็ดีนะ
ด้วยวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ของแต่ละประทศ หรือชนเผ่า ที่นับถือกันมา และอีกมุมมองหนึ่งด้วยประสบการณ์ อารมณ์ ความรู้สึก เหล่านี้ เป็น ส่วนหนึ่งที่สร้างขอบเขตของการสัมผัส เช่น การทักทายที่แตกต่างกัน การยอมรับที่แตกต่างกัน
แต่ในบางสถานการณ์การสัมผัสที่ผู้รับอาจตกอยู่ในสถานการณ์ที่ขาดความสมดุลของความรู้สึก ที่เจออุปสรรค เช่น ประสบปัญหาต่างๆ หมดกำลังใจ ขาดความอบอุ่นในชีวิต เป็นต้น สิ่งที่พวกเขาต้องการคือการสัมผัสที่รู้สึกปลอดภัย ดึงความรู้สึกของตัวเองออกมาจากสถานการณ์ที่ไม่สบายใจนั้นให้หลุดออกมาจากพลังงานความรู้สึกทุกข์ใจนั้นออกไปให้มากที่สุด สิ่งที่เรามองหาคือคนใกล้ตัวเรา ที่เรารู้สึก ผูกพัน สนิทสนม และไว้ใจ แสดงถึงการปลอบใจ ให้กำลังใจ อาจจะด้วยการจับมือ การโอบกอด ด้วยความรู้สึกที่จริงใจ ให้ผู้รับรู้สึกมั่นใจ รู้สึกดีมากขึ้นได้
ส่วนหนึ่งของบทความที่น่าสนใจเกี่ยวกับการสัมผัส และช่วยขยายบทความนี้ด้วยใจความว่า
“The first and most important step is to honor your own needs and boundaries around touch. It can feel vulnerable—even edgy—to put yourself out there and ask friends or family for physical contact. What’s more, we may have good reasons to be highly selective around who we share touch with and when. Honoring our human need for touch includes all of this, with the recognition that if we don’t ask, it’s even less likely that we’ll get our needs met.”
“ขั้นตอนแรกและสำคัญที่สุดคือการเคารพความต้องการและขอบเขตของคุณเกี่ยวกับการสัมผัส อาจรู้สึกเปราะบาง แม้กระทั่งกระวนกระวายใจ ที่จะนำตัวเองออกไปและขอให้เพื่อนหรือครอบครัวสัมผัสร่างกาย ยิ่งไปกว่านั้น เราอาจมีเหตุผลที่ดีในการเลือกอย่างมากว่าเราจะแบ่งปันการติดต่อกับใครและเมื่อใด การเคารพความต้องการสัมผัสของมนุษย์รวมถึงทั้งหมดนี้ด้วยการรับรู้ว่าหากเราไม่ถาม โอกาสที่เราจะได้รับการตอบสนองความต้องการก็จะยิ่งน้อยลงไปอีก”
อ้างอิงจาก https://www.orenjaysofer.com/blog/touch
มีความผ่อนคลายบ้างก็ได้ (Therapy)
เรามักจะได้ยิน ถึงการนวดผ่อนคลาย การนวดบำบัด เป็นการสัมผัสอีกแบบหนึ่ง ที่ทำให้ร่างกายการเรารู้สึกสบายตัว หลายหลายคนอาจะทำงานหนัก จนมีความรู้สึกเมื่อยล้า การทำงานมากจนร่างกายส่งสัญญาณให้กับตัวเอง การสัมผัส อย่างการนวดที่มีหลากหลายวิธี อาจจะเป็นการนวดที่ให้พลังงานจากผู้นวด ด้วยการกด นวด สัมผัสส่งต่อให้ผู้รับ ปัจจุบันมีการประยุกต์การสัมผัสบำบัด ผ่านพลังงานจากหินบำบัด น้ำบำบัด เป็นต้น
มหัศจรรย์ของการกอด (Hugging)
การกอดเป็นการถ่ายทอดพลังงานแห่งความรัก ความห่วงใย ความผูกพัน ความสุข ในช่วงชีวิตของเรา ในวัยเด็ก ด้วยความไร้เดียงสาของเด็ก ที่ได้ความรักจากผู้ใหญ่ การกอดในแบบของครอบครัว พี่น้อง ที่แสดงความรัก ความห่วงใย การกอดในแบบคนรักที่แสดงถึงความรู้สึก ความผูกพันธ์ที่เราไว้ใจและใช้ชีวิตร่วมกันกับอีกคน การกอดแบบเพื่อน แม้แต่การกอดกับคนแปลกหน้า ต่างล้วนให้ความหมายและตีความหมายแทนการสื่อสารจากการพูดคุยแทนด้ยเช่นกัน
พลังแห่งการสัมผัส (Power of Touch)ด้วย ใจความนี้ ที่ช่วยขยายบทคามนี้เช่นกัน ว่า
.”Scientists have found that there are changes in brain pattern activity during touch. Touch reduces the stress hormone cortisol and releases oxytocin, known as the “feel-good” hormone, helping to inspire positive thinking and an optimistic outlook. It helps humans connect and promotes feel-good sensations that foster a sense of well-being. Physical touch also increases the levels of dopamine and serotonin, two neurotransmitters that help regulate your mood and help your body relieve stress and anxiety. Additionally, physical touch is known to improve your immune system.”
“นักวิทยาศาสตร์พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานของสมองระหว่างการสัมผัส การสัมผัสช่วยลดฮอร์โมนความเครียดคอร์ติซอลและปล่อยออกซิโทซินหรือที่เรียกว่าฮอร์โมน “รู้สึกดี” ช่วยสร้างแรงบันดาลใจในการคิดบวกและมองโลกในแง่ดี ช่วยให้มนุษย์เชื่อมต่อและส่งเสริมความรู้สึกที่ดีที่ส่งเสริมความรู้สึกเป็นอยู่ที่ดี การสัมผัสทางร่างกายยังเพิ่มระดับของโดพามีนและเซโรโทนิน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทสองตัวที่ช่วยควบคุมอารมณ์ของคุณและช่วยให้ร่างกายของคุณคลายความเครียดและความวิตกกังวล นอกจากนี้ การสัมผัสทางร่างกายยังเป็นที่รู้กันว่าช่วยปรับปรุงระบบภูมิคุ้มกันของคุณ”
การสัมผัส (Touching) เป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ โดยกำเนิด และเป็นไปอย่างธรรมชาติที่จัดสรรให้มนุษย์อยู่ร่วมกันเรื่อยมา แต่ด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่สร้างขอบเขต ในการดำรงชีวิตอยู่ ทำให้บทบาทของการสัมผัสและเห็นความสำคัญหรือนิยมนำมาใช้ในชีวิตประจำวันไม่มากนัก โดยที่เราให้บทบาทในการสื่อสาร สนทนา ผ่านคำพูด เสียง แต่ในบางสถานการณ์ การแสดงออกด้วยการสัมผัส มีพลังงานมากกว่า ที่เราคาดคิดด้วยซ้ำ แค่เราเรียนรู้ที่จะใช้พลังงานแห่งการสัมผัสขับเคลื่อนความรู้สึก ความคิด จินตนาการ อารมณ์ แสดงออกไปอย่างธรรมชาติ เพราะธรรมชาติพร้อมที่จะจัดสรรให้เราอยู่แล้ว
Writer: Better Call Nika
อ้างอิงจาก :
Comments