“Amerigo Vespucci”เรือที่สวยที่สุดในโลก
เป็นเรื่องที่น่าตื่นตา ตื่นใจ และนับว่าเป็นโอกาสของชาวไทย โดยเฉพาะจังหวัดภูเก็ต และนักท่องเที่ยวที่ได้มาท่องเที่ยว หรือพักอาศัยที่จังหวัดภูเก็ต มีโอกาสได้เข้าชมเรือ อเมริโก้ เวสปุชชี (Amerigo Vespucci) เรือสัญชาตอิตาลี ที่ไม่ได้มาบ่อยในเอเชีย แสดงถึงความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประเทศไทยและประเทศอิตาลี ซึ่งจะเปิดให้ชม ระหว่างวันที่ 6-10 พฤศจิกายน 2024 ที่ผ่านมาในเว็บไซต์ของเรือลำนี้ ( https://tourvespucci.it/en/ ) ประวัติของเรือลำนี้ มีมายาวนานมากตั้งแต่ ปี 1930 โดยชื่อเรือ เป็นชื่อของนักสำรวจชาวอิตาลี เป็นสถานที่ฝึกของทหารเรืออิตาลี
ผู้เขียนพลาดไม่ได้ที่จะไปยลโฉมของเรือลำนี้ ดึงดูดความรู้สึกที่อยากจะไปดูมากมาก ในวันที่เปิดรับลงทะเบียน ฉันลงทะเบียนไม่ทัน น้ำตาไหลพรากว่า หมดกัน! เราไม่ได้ขึ้นไปดูแล้วเหรอเนี่ย ! วันนั้นก็ได้แต่บอกเพื่อนที่ลงทะเบียนได้ว่า “ขึ้นไปดูเรืออเมริโก้ เวสปุชชีเผื่อ ด้วยนะ” วันแรกคนเยอะมากเพื่อนบอก วันที่สองมีโพสต์บอกต่อว่า “สำหรับคนที่ไม่ได้ลงทะเบียน ก็สามารถขึ้นไปดูเรือได้” ความรู้สึกของฉันมีความหวังอีกครั้ง วันถัดไปก็นัดเพื่อนไปดูกัน ก่อนไปดูหนึ่งวันฉันศึกษาดูถึงประวัติเรือลำนี้เป็นเรือที่น่าสนใจ น่าหลงไหลมากๆๆ
มีเรื่องเล่ากันมา ว่า ขณะเรือ อเมริโก้ เวสปุชชี (Amerigo Vespucci) กำลังแล่นเรืออยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในปี 1962 เรือบรรทุกเครื่องบิน USS Independence ของอเมริกาได้ส่งสัญญาณไฟไปยังเรือ Amerigo Vespucci เพื่อถามว่า “คุณเป็นใคร” เรือลำดังกล่าวตอบว่า “เรือฝึก Amerigo Vespucci กองทัพเรืออิตาลี” เรือ USS Independence ตอบว่า “คุณเป็นเรือที่สวยที่สุดในโลก” ต่อมาในปี 2022 เรือ Amerigo Vespucci ได้แล่นผ่านเรือบรรทุกเครื่องบิน USS George H.W. Bush ของอเมริกา ซึ่งได้ให้ความเคารพเรือลำดังกล่าวและแสดงความคิดเห็นว่า “หลังจากผ่านไป 60 ปี คุณยังคงเป็นเรือที่สวยที่สุดในโลก”
หลังจากฉันดูคลิปนี้ น้ำตาฉันไหลพราก เหมือนเป็นความยินดี ที่ความเป็นตำนาน ทำให้ความทรงจำที่จดจำตลอดไป อย่างเรือลำนี้ เป็นเรือที่สวยสง่างาม ความประณีต เรือค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร 60 ปีผ่านไป เรือลำนี้ก้ยังดูสง่างามไม่เปลี่ยนแปลง ในอีกมุมมองหนึ่งเสมือนเป็นเรือแห่งความสันติภาพ ความสัมพันธภาพที่ดี ระหว่างประเทศก็ว่าได้
อเมริโก้ เวสปุชชี (Amerigo Vespucci) คือใคร
อเมริโก้ เวสปุชชี ( Amerigo Vespucci; 9 มีนาคม ค.ศ.1454 — 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1512) เป็นนักสำรวจ นักเดินเรือ และนักทำแผนที่ชาวอิตาลี ที่เป็นคนชี้กระจ่างว่าส่วนที่ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เคยมาสำรวจมานั้นไม่ใช่เป็นแผ่นดินส่วนหนึ่งของเอเชีย หากแต่เป็นแผ่นดินใหม่ หลังจากนั้นก็ได้ตั้งชื่อทวีปเป็นอเมริกาเพื่อเป็นการให้เกียรติกับ อเมริโก เวสปุชชี ในการชี้แนะอย่างถูกต้อง (อเมริโกนั้นเป็นภาษละติน แต่เพราะในภาษาอังกฤษนั้นเรียกว่าอเมริกา)
เรือ Amerigo Vespucci
เป็นเรือใบสูงของกองทัพเรืออิตาลี (Marina Militare) ที่ได้รับการตั้งชื่อตามนักสำรวจชื่อ Amerigo Vespucci โดยมีท่าเรือประจำอยู่ที่เมืองลาสเปเซีย ประเทศอิตาลี และใช้งานเป็นเรือฝึก ในปี 1925 เรือ Regia Marina ได้สั่งสร้างเรือฝึกสองลำตามแบบของพลโท Francesco Rotundi แห่งกองทหารช่างของกองทัพเรืออิตาลี ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากเรือรบขนาดใหญ่ 74 ลำของกองทัพเรือในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 (เช่น เรือ Monarca ของเนเปิลส์) ลำแรกคือ Cristoforo Colombo ซึ่งเข้าประจำการในปี 1928 และกองทัพเรืออิตาลีใช้งานจนถึงปี 1943 หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เรือลำนี้ถูกส่งมอบให้กับสหภาพโซเวียตเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการชดเชยสงคราม และไม่นานหลังจากนั้นก็ถูกปลดประจำการ
เรือลำที่สองคือ Amerigo Vespucci สร้างขึ้นในปี 1930 ที่อู่ต่อเรือ Castellammare di Stabia (เดิมคือ Royal Naval Shipyard) เมืองเนเปิลส์ (Naples) เรือลำนี้ถูกปล่อยลงน้ำเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 1931 และเข้าประจำการในเดือนกรกฎาคมของปีนั้น
เรือลำนี้มีเสากระโดงสามต้นเต็มลำ ลำตัวทำด้วยเหล็ก ยาว 82.4 เมตร (270 ฟุต) ความยาวรวม 101 เมตร (331 ฟุต) รวมหัวเรือ และกว้างสูงสุด 15.5 เมตร (51 ฟุต) มีระยะกินน้ำลึกประมาณ 7 เมตร (23 ฟุต) และระวางขับน้ำ(น้ำหนักของปริมาตรน้ำที่ถูกเรือแทนที่)เมื่อบรรทุกเต็มที่ 4,146 ตัน ด้วยระบบขับเคลื่อนดีเซลไฟฟ้าเสริม Amerigo Vespucci สามารถแล่นได้เร็วถึง 10 นอต (19 กม./ชม.) และมีระยะทางแล่น 5,450 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 6.5 นอต
เสาเหล็กสามต้นมีความสูง 50, 54 และ 43 เมตร และติดตั้งใบเรือได้รวม 2,824 ตารางเมตร (30,400 ตารางฟุต) เรือ Amerigo Vespucci มีใบเรือ 26 ใบ ได้แก่ ใบเรือสี่เหลี่ยม ใบเรือสามเสา และใบเรือสามเสา ซึ่งทั้งหมดเป็นใบเรือผ้าใบแบบดั้งเดิม เมื่อแล่นในสภาพทะเลและลมแรง เรือสามารถทำความเร็วได้ถึง 12 นอต (22 กม./ชม.) แท่นขุดเจาะซึ่งมีความยาวประมาณ 30 กม. ใช้เชือกป่านแบบดั้งเดิมเท่านั้น มีเพียงเชือกผูกเรือเท่านั้นที่เป็นเชือกสังเคราะห์ เพื่อให้เป็นไปตามข้อบังคับของท่าเรือ
ตัวเรือทาสีดำและมีแถบสีขาวสองแถบ ซึ่งย้อนกลับไปถึงชั้นปืนสองชั้นของเรือที่เรือออกแบบตามแบบ แต่เรือบรรทุกปืนประจำเรือขนาด 6 ปอนด์เพียงสองกระบอกเท่านั้น โดยติดตั้งบนดาดฟ้าด้านหน้าเสากระโดงหลัก แผ่นไม้บนดาดฟ้าทำจากไม้สักและต้องเปลี่ยนทุกสามปี หัวเรือและท้ายเรือประดับตกแต่งด้วยลวดลายที่ประณีต มีรูปปั้นของอเมริโก เวสปุชชีขนาดเท่าตัวจริง ส่วนระเบียงท้ายเรือสามารถเข้าถึงได้เฉพาะทางห้องรับรองของกัปตันเท่านั้น
ลูกเรือมาตรฐานของเรือ Amerigo Vespucci ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ 16 นาย เจ้าหน้าที่ชั้นประทวน 70 นาย และลูกเรือ 190 นาย ในช่วงฤดูร้อน เมื่อเรือลำนี้เข้าประจำการในโรงเรียนนายเรือ (Accademia Navale) ลูกเรือจะมีทั้งหมดประมาณ 450 คน
เมื่อมีนักเรียนนายร้อย เรือมักจะถูกบังคับเลี้ยวจากตำแหน่งหางเสือท้ายเรือแบบใช้มือ ซึ่งควบคุมด้วยพวงมาลัยสี่ล้อ โดยแต่ละล้อมีลูกเรือสองคน ในบางครั้ง พวงมาลัยแบบไฮดรอลิกบนสะพานเดินเรือจะถูกใช้ ยกเว้นรอกสมอ รอกบนเรือจะไม่ทำงานด้วยกำลัง สะพานเดินเรือติดตั้งอุปกรณ์นำทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ทันสมัย
นอกจากช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว เรือ Amerigo Vespucci ก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่อย่างต่อเนื่อง โดยส่วนใหญ่แล้วการล่องเรือฝึกซ้อมจะอยู่ในน่านน้ำยุโรป แต่เรือยังได้แล่นไปยังอเมริกาเหนือและใต้ รวมถึงเดินเรือในมหาสมุทรแปซิฟิกด้วย ในปี 2002 เรือได้ออกเดินทางรอบโลก
เรือ Amerigo Vespucci มักเข้าร่วมขบวนพาเหรดเรือใบและการแข่งขันเรือใบสูง โดยเป็นคู่แข่งที่เป็นมิตรกับเรือ Gorch Fock เมื่อเรือจอดเทียบท่า มักจะเปิดให้ประชาชนเข้าชมเรือ เรือ Vespucci ได้เดินทางรอบโลกในปี 2003 และตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา เรือ Vespucci ก็ต้องพึ่งพาผู้บัญชาการกองเรือโดยตรง เรือลำนี้ได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ตั้งแต่ปี 2013 ถึงปี 2016
นอกจากฉันจะได้ชื่นชมความสง่างาม ความประณีตของเรืออเมริโก้ เวชปุชชี (Amerigo Vespucci) ฉันประทับใจมากและขอบคุณที่ล่องเรือจนมาถึงประเทศไทยและไม่รู้เมื่อไรจะได้ข้ามทวีปมาอีก หลายๆสิ่งที่ทำให้ฉันได้เรียนรู้จากเรือลำนี้คือ ความเป็นตำนานให้เป็นที่จดจำ ความประณีต สัมผัสได้ถึงความเก่าแก่ จำเป็นต้องใช้เวลาและรักษาไว้ด้วยความพิถีพิถันของเรือลำนี้ เชือกทุกเส้น มีส่วนสำคัญทุกเส้น แผ่นไม้เงางาม เหล็กที่ไร้สนิม แสดงถึงความพิถีพิถันของเรือลำนี้ ความเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร ในอีกมุมมองหนึ่งเปรียบเสมือนเป็นทูตสัมพันธไมตรีกับทุกๆ คน แม้จะยังไม่มีการเจรจา การพูดคุย การต่อรอง แต่ด้วยความสวยงาม ความเป็นตำนาน ที่บ่งบอกถึงความเป็นมิตรภาพระหว่างกันกับทุกๆคนที่ได้พบเห็น
Writer : Better Call Nika
อ้างอิงจาก :
Comments