จุดเริ่มต้นที่จุดประกายคือ “คำ” (The starting point that sparks is the "word")

ไม่น่าเชื่อว่า ฉันแค่คิดจะอ่านหนังสือ ในช่วงตอนว่างๆ เป็นการต่อยอดความรู้ให้ตัวเอง จะกลายมาเป็น ผู้เริ่มเขียน โดยฉันเริ่มจากอ่านหนังสือที่เป็นภาษาไทย และทดลองอ่านภาษาอังกฤษด้วย ยิ่งฉันอ่านมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งได้สะสมคำมากขึ้นจากผู้เขียนหลายๆเล่ม ที่ฉันอ่านมา และบางคำสามารถจุดประกายไอเดีย ต่อยอดให้ฉัน และอยากต่อยอดไปให้ท่านที่อ่านอยู่ ได้จุดประกายเช่นกัน
“ถ้านำคำไปใช้ในชีวิตประจำวัน มาร้อยเรียงประโยค ให้เข้าอารมณ์ สถานการณ์ และสภาพแวดล้อม ยิ่งทำให้ พลังของคำนั้น มีคุณค่ามากขึ้น ฉันเริ่มค่อยๆ เปิดใจและเชื่อมต่อกับ คำ ซึ่งคำ เป็นเหมือน อะไรบางอย่างที่ให้ใจสัมผัสและส่งต่อให้ตัวเอง คำนี่แหล่ะ ที่ฉันขอเรียกว่า พลังของคำ”

ในระหว่างที่ฉันอ่านหนังสือทุกวัน ไม่ว่าจะอ่านจากเล่มหนังสือ (ฉันชอบอ่านเป็นเล่มหนังสือ เพราะสะดวกที่ว่า ช่วยถนอมสายตาฉันเองมากกว่า จากการอ่านทางอีบุ๊ก( E-Book) เนื่องจากฉันค่อนข้างใช้พลังสายตาค่อนข้างมาก กับคอมพิวเตอร์ หรือ โน๊ตบุ๊ก(Notebook) เวลาทำงาน กับ พิมพ์บทความอยู่แล้ว พอมาอ่านเลยชอบอ่านเป็นเล่มหนังสือมากกว่า) อ่านบทความสั้นๆ จากโลกออนไลน์ และฟังเสียงจาก พอดแคสต์(Podcast) จากสื่อต่างๆ หรือฟังนักพูดที่ฉันสนใจทางช่องยูทูปบ้าง มันช่วยสามารถเสพความรู้ต่างๆ ที่ชอบ และสะดวกกับรูปแบบของสื่อ เหล่านี้ ฉันได้ สะสมคำ มากขึ้น และมากขึ้นเรื่อยๆ

เช้าวันหนึ่ง คิดอยากฟังเพลงมันส์ๆ ในสไตล์ของฉัน หลังจากที่คลุกคลีกับการเคลียร์งานที่ฉันค้างอยู่มานาน เพื่ออยากให้ทัน กับ เหตุการณ์ปัจจุบัน (ธุรกิจท่องเที่ยวที่ฉันทำที่จังหวัดภูเก็ตปรับการทำงานจากออฟไลน์ขึ้นออนไลน์ กับงานเขียน ก็จะควบคู่กันไป) และมันเป็นอะไรที่ค่อนข้างนาน ที่ฉันไม่ได้ฟังมัน และเช้าวันนั้น เป็นอารมณ์ที่ เหมือนอยากให้ใครก็ได้ปลุกฉันหน่อย! ฉันเป็นคนหนึ่งที่ชอบฟังเพลง แนวแบบไม่มีคนร้อง เช่น เพลงที่โซนตะวันตกชอบฟัง อย่าง เพลงแจ๊ส(Jazz music) เพลงเฮ้าส์(House music) ซึ่งจะมีทั้งเสียงคนร้อง และ ไม่มีคนร้อง แต่วันนั้น นึกถึงเพลงมันส์ๆ ที่จะปลุกฉันได้

ฉันดื่มน้ำ แล้วฉันเดินไปที่โต๊ะทำงานและ เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ แล้วคลิกไปที่ช่องยูทูป(Youtube) และคิดในใจว่า เช้านี้ ดีเจ ที่ฉันไม่รู้ว่าคนนี้ฉันเคยฟังเลยรึป่าว จะคุยและปลุกกับฉันหน่อยได้มั๊ยผ่านเสียงเพลงที่เค้าแต่งมา พอเปิดเท่านั้นแหล่ะ มีความรู้สึกเหมือน เพลงเค้ามีพลังที่โน้มน้าวฉันให้ตื่นจากอารมณ์คนไม่สดชื่น ในช่วงเวลานั้น ให้ฉันรู้สึกตื่นและกระปรี้กระเปร่าขึ้น จังหวะเพลงก็เปรียบได้กับคำ ที่ดีเจเลือกสรร แล้วเอามาประกอบเป็นจังหวะเพลง

ยุคสมัยผ่านไปตามกาลเวลา ก็จะมีกลุ่มคนสมัยใหม่เกิดขึ้น หรือที่ชอบเรียกกันว่าเจเนอเรชั่น (Generation)และมีการสื่อสารกัน ด้วยการดัดแปลงจากคำคำเดิม เป็นคำใหม่ในสไตล์ ของกลุ่มคนยุคสมัยนั้น การสร้างคำใหม่ ถือว่า คำ ไม่ผิดที่จะใช้ แต่ พลังของคำอาจจะมีน้ำหนักซึ่ง จะมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับ จากฝู้ฟังหรือผู้เสพ ที่จะให้น้ำหนักและพลังจาก คำที่สื่อออกมาจากสื่อต่างๆ อยู่ที่ ใน อารมณ์ไหน สถานการณณ์ตอนนั้นเป็นอย่างไร และในสภาพแวดล้อมในตอนนั้นมีลักษณะเป็นอย่างไร

หากได้ฟังจังหวะเพลงที่ชอบ ในสถานการณ์ของตัวคุณ และสไตล์ของคุณ มันจะเป็นเหมือนสิ่งกระตุ้นคุณ คำก็เช่นกัน หากคุณนำคำไปใช้กับตัวเอง หรือคุณจะนำคำไปใช้กับคนอื่น ในอารมณ์ และสถานการณ์และสภาพแวดล้อมในขณะนั้น อาจจะแค่คำเดียว หรือจากการร้อยเรียงประโยค ก็สามารถทำให้คำนั้นมีพลังได้ แค่คุณรู้จักวิธีเลือกคำ ให้เข้ากับคนที่จะรับฟัง
คำได้มาจากการสะสมคำของแต่ละคนที่เสพจากสื่อต่างๆ ยิ่งคุณเสพสื่อที่คุณคิดว่าจะเป็นประโยชน์ และสามารถต่อยอดในการใช้ชีวิต ในการสื่อสาร ในการทำงาน อาจจะด้วยการอ่าน การฟัง และควบคู่ไปกับการสังเกตการใช้คำ แล้วคุณนำไปใช้ คุณก็จะเริ่มเชี่ยวชาญในการใช้คำ และร้อยเรียงประโยค ที่ให้มีพลังได้

นี่แหล่ะพลังของคำ ที่ฉันรู้สึกว่า คำเหมือนพลัง อย่างหนึ่ง ที่ จะสามารถให้รู้สึกได้ถึงอารมณ์ ที่หลากหลาย อย่างดีใจ ตื่นเต้น ได้กำลังใจที่จะต่อสู้ เป็นต้น และคำก็สามารถที่จะทำให้คุณมีความรู้สึกที่ตรงกันข้ามเช่นกัน อย่างเศร้า โกรธ เหงา ท้อแท้ เป็นต้น
อารมณ์เหล่านี้ มีผลมาจาก พลังของคำ ที่สื่อสารกัน ในช่วงเวลา และสถานการณ์ และสภาพแวดล้อม ที่เผชิญอยู่ ในตอนนั้น มีประโยคหนึ่งที่ ใช้คำมากระตุ้นให้ผู้ที่ชอบอ่านหนังสือ มีความรู้สึกอยากอ่านมากขึ้น คือ “การอ่านทำให้เปลี่ยนโลก” เป็นงัยคะฟังแล้ว คุณรู้สึกอย่างไร มันมีพลังเป็นอย่างมากและแปลได้หลายความหมายจากผู้เสพเอง แต่สำหรับฉันแล้ว ประโยคนี้ ทำให้ฉันจะไปซื้อหนังสือเล่มไหนดี เดือนหน้านี้
Writer : Better Call Nika
Comments